แสงไฟที่ใช้ในบ้าน
1.แสงสว่างทั่วไป (Background Lighting)เป็นการใช้แสงทดแทนแสงธรรมชาติโดยให้แหล่งกำเนิดจากที่สูงได้แก่ไฟที่ติดบนเพดานผนังหรือโคมไฟห้อยจากเพดาน
2.แสงเพื่อทำงาน (Task Light) เน้นระดับแสงที่สว่างเป็นพิเศษ และควรให้แสงสว่างอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ทำให้เกิดเงามืดบนพื้นที่ทำงาน
3.แสงสำหรับเน้น (Accent Light) สำหรับการเน้นแสงเงาเพื่อสร้างมิติให้งานตกแต่ง แสงประเภทนี้เกิดจาก ดวงไฟสปอตไลท์ไฟส่องรูปภาพ(Picture Light) ไฟที่ซ่อนอยู่ในช่องว่างของผนัง รวมไปถึงโคมไฟตกแต่งต่างๆเมื่อรู้จักลักษณะแสงไฟที่ใช้ภายในบ้านแล้ว ต่อมาควรรู้จักประเภทขอหลอดไฟซึ่งให้แสงที่มีลักษณะการใช้งานและให้ผลกับความรู้สึกต่างกันไป
ประเภทของหลอดไฟที่ใช้กันในบ้านมีอยู่ 3 ประเภทหลัก ๆ
1.หลอดไส้ทังสเตน (tungsten) หรือเรียกว่า หลอด Incandesent จะให้แสงที่อบอุ่น ออกโทนสีเหลือง และเหมาะสำหรับการใช้ในงานตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศและแสงเงาที่สวยงามเหมือนแสงธรรมชาติ และสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์หรี่ไฟ ( Dimmer ) แต่มีข้อเสียที่อายุการใช้งานสั้น
2.ฮาโลเจน (Halogen) หลอดไฟชนิดนี้จะให้แสงที่ดูขาวและสว่างกว่าทังสเตน เพราะภายในหลอดไฟจะใส่ก๊าซฮาโลเจน ซึ่งช่วยให้แสงแสดงรายละเอียดของสีสัน ที่ให้ความรู้สึกสดใสและสว่างมาก เหมาะจะใช้กับ โคมไฟสปอตไลท์ เพื่อเน้นจุดสำคัญ แต่มีปัญหาเรื่องความร้อนสูงมาก แต่ก็สามารถใช้ชุดหรี่ไฟติดเพื่อปรับปริมาณแสงและความร้อนได้ตามต้องการ
3.ฟลูออเรสเซ้นต์ (Fluorescent) แสงไฟชนิดนี้ได้รับความนิยมมากเพราะราคาถูกและประหยัดพลังงานแต่แสงมีผลต่อโทนสีของห้องที่เพี้ยนจากสีจริงไปทางสีฟ้า แต่ในปัจจุบันมีการใช้ชนิดของแก้วสีเพื่อปรับแสงสีและปรับให้แสงไฟดูนุ่มนวลมีโทนขาว และเหลือง เพื่อให้แสงดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
สรุปลักษณะของแสงและความเหมาะสมในการใช้งาน ของหลอดประเภทต่างๆ
ชนิดของหลอดไฟ โทนสีของหลอด
หลอดไส้ โทนอุ่น เช่น ส้ม แดงสดใส และขาวอมสีฟ้า เหมาะกับห้องที่ต้องการสร้างบรรยากาศอบอุ่น
โรแมนติก อย่างห้องนอน ห้องรับประทานอาหาร ร้านอาหาร
ฟลูออเรสเซ็นต์ เช่น หลอด warm white ที่ให้แสงสีแดงอมส้มหรือที่เราเรียกว่าสีโทนร้อนก็จะให้อุณหภูมิสีอยู่ที่ 1000 เคลวิน หลอด cool whtie ที่ให้แสงสีฟ้าติดขาวๆ จะเป็นสีโทนเย็น ดูแล้วสบายตา อุณหภูมิสีจะเพิ่มเป็น 4500เคลวิน หลอด daylight ให้แสงกลางๆ ใกล้เคียงกับแสงสว่างเวลาที่เราอยู่กลางแจ้ง อุณหภูมิจะอยู่ที่ 6500เคลวิน ส่วนใหญ่แสงจะอมฟ้าและเขียว ให้แสงที่สว่างมาก สีห้องไม่เพี้ยนตามแสงสีและประหยัดไฟเป็นพิเศษจึงเหมาะกับพื้นที่ทำงาน
แสง daylight แสงในห้องจะดูขาวๆ แข็งๆ มองอะไรก็ดูชัดไปหมด จะขาวโอโมมากๆ คล้ายแสงธรรมชาติในตอนกลางวัน เห็นอะไรได้ชัดเจน สีไม่เพี้ยน กระตุ้นให้ตื่นตัว กระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะใช้กับห้องที่ต้องการการมองเห็นที่ชัดเจน อย่างไฟหัวโต๊ะแต่งหน้า หรือพื้นที่ที่ต้องการความ active อย่างเช่น ในออฟฟิศ โต๊ะทำงาน มุมอ่านหนังสือ ห้องสมุด ห้องเตรียมอาหาร ในโรงงานการผลิต ห้องผ่าตัด ห้องทำฟัน ในโรงพยาบาล ห้องแลบเทสต์ต่างๆ หรือมุมที่ต้องการแสงสว่างที่เพียงพอ เช่น หัวเตียงสำหรับอ่านหนังสือ หรือบนโต๊ะทำงาน (น้องๆ ที่อ่านหนังสือเตรียมสอบ ควรเลือกใช้แสงไฟแบบ daylight จะช่วยให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ง่วงหาวไปก่อน)
แสง cool white เป็นโทนสีที่อยู่ระหว่างกลางระหว่าง daylight กับ warm white จะให้แสงที่เป็นสีฟ้าขาว ดูเย็นสบายตา แต่สีของวัตถุจะเพี้ยนจากความเป็นจริง อย่าได้เผลอเอาไปใช้หน้าโต๊ะแต่งหน้าเด็ดขาด เพราะสีจะเพี้ยนมาก แต่งแล้วอาจจะเห็นว่าหน้ายังซีด จืด อยู่ ที่ไหนได้ พออยู่กลางแสงธรรมชาติกลายเป็นว่าแต่งหน้าจัดแบบไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นหลอดที่ให้แสงประเภทนี้ใช้ได้ในบางสถานที่ บางโอกาสเท่านั้น เช่น จุดที่ต้องการให้สีสันของวัตถุสดใสกว่าความเป็นจริง เช่น ตามแผนกผักผลไม้ อาหารที่ต้องการให้เน้นให้ดูน่าทานมากยิ่งขึ้น
แสง warm white แสงในห้องจะติดส้มๆ ส่วนมากแล้วเขาจะเอาไว้ใช้สร้างบรรยากาศให้ดูนุ่มนวล อบอุ่น ผ่อนคลาย เตรียมตัวเข้านอนหรือทำสมาธิ ถ้าเป็นตามบ้านก็จะใช้กันในห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องพระ ส่วนใหญ่ตามร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ ร้านอาหารจะใช้กันเพราะว่าแสงส้มนิดๆ จะช่วยให้ตาเรามองเห็นว่าอาหารน่าหม่ำขึ้น โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ตามห้างดูก็ได้ เขาจะใช้ไฟสีส้มๆ ส่องพวกเนื้อสัตว์ เพื่อให้ดูสีสรรสวยงาม ดูสดใหม่ หรือใช้กับช่วงเวลาดินเนอร์มื้อค่ำกับคนพิเศษ ห้องพักโรงแรม สปา ร้านอาหาร
ฮาโลเจน โทนเหลืองอบอุ่น ให้แสงสว่างเน้นเฉพาะจุดได้ดี เหมาะกับ ส่องเน้นงานศิลปะ ของตกแต่งบนผนังหรือในตู้โชว์
ชนิดของโคมไฟสร้างให้เกิดบรรยากาศ
รูปแบบโคมที่ให้บรรยากาศแสงต่างกันไป
ไฟเพดาน ดาวน์ไลท์เป็นโคมไฟที่ใช้ง่ายและนิยมมากที่สุดเพราะให้แสงสว่างได้ทั่วถึงทั้งห้อง แต่อย่างไรก็ตามการใช้แสงชนิดนี้เพียงอย่างเดียว ถึงห้องจะดูสว่างก็จริงแต่ขาดมิติ ควรมีการเพิ่มแสงไฟ เน้นเฉพาะจุดสปอตไลท์และติดตั้งชุดหรี่ไฟ เพื่อปรับความสว่างเฉพาะจุดได้ตามต้องการ
โคมไฟระย้า รูปแบบของโคมไฟห้อยเพดานนั้น จะทำให้แสงกระจายลงมาเท่ากันในทุกทิศทางเฉพาะพื้นที่ใช้งานเหมาะกับการเน้นพื้นที่เฉพาะ อย่างโต๊ะรับประทานอาหาร ชุดรับแขก โดยสามารถควบคุมทิศทางของแสงได้ด้วยลักษณะโคม ที่ปล่อยให้แสงส่องลงล่าง หรือบนเพดาน หรือความสูงต่ำของโคมก็มีผลกับความสว่างของการใช้งานได้ รวมทั้งสีของโคมก็มีผลต่อแสงสว่างที่ออกมาดังนั้นต้องดูให้เหมาะสม
ไฟสปอตไลท์ มีลักษณะแสงที่ส่องตรงเฉพาะจุด และก้านโคมสามารถปรับตำแหน่งได้เพื่อส่องให้ตรงกับรูปภาพต้นไม้ ผนังที่หรือสิ่งของที่ต้องการเน้นให้ดูเด่น สามารถติดได้ทั้งบนเพดาน ผนัง และพื้น
ไฟผนัง ( Wall Light)เป็นไฟที่ให้แสงสว่างเน้นบนผนังเพื่อกระจายออกด้านหน้า โดยแสงออกเพดานและพื้นด้วยมักจะอยู่ในรูปของโป๊ะที่ยื่นออกมาจากผนัง จึงเหมาะ สำหรับหน้าโต๊ะแต่งตัว เพราะจะให้แสงสว่างโดยไม่เกิดเงาบนใบหน้า
โคมไฟตั้งโต๊ะ (Table Lamps) และโคมไฟตั้งพื้น (Floor Lamps)โคมไฟตั้งโต๊ะจะให้แสงที่นุ่มนวล และกระจายแสงในมุมแคบ โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบของโคมเหมาะกับการสร้างบรรยากาศในมุมที่มืดของบ้าน หรือมุมที่ต้องการความสว่างเฉพาะจุดเช่นการอ่านหนังหัวเตียงหรือมุมนั่งเล่น ซึ่งตรงนี้อยู่ที่ความพอใจเรื่องดีไซน์เข้ากับบ้านมากกว่าแสงสว่างในการใช้งาน
โคมไฟโต๊ะทำงาน (Desk Lamps)จุดประสงค์ของมันก็คือการให้แสงสว่าง ตรงไปยังบริเวณที่ต้องการโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงออกแบบให้สามารถปรับองศาได้หลากหลายเพื่อไม่ให้เกิดเงามืดของมือบังแสงขณะอ่านหรือเขียนหนังสือ
เมื่อรู้จักแสงไฟจากหลิดและโคมประเภทต่างๆแล้วลองนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้กับห้องของคุณดูล่ะกันหวังว่าคงจะช่วยให้บรรยากาศในห้องดูดีขึ้นบ้าง
หน้าที่เข้าชม | 281,947 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 130,964 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 23 ส.ค. 2568 |